สอนลูก…ฝึกค้าขายและทำบัญชีการเงิน..มาดูผลที่เกิดขึ้น เรื่องสำคัญที่โรงเรียนไม่สอน

ผมมีลูกชาย 3 คน อายุ 12,13,14 ปี เรียนโฮมสคูล จะมาแชร์เรื่องราวให้เห็นว่า ถ้าฝึกลูกให้รู้จักการเงิน รู้จักการทำงาน พอได้ลงมือทำจริงๆแล้ว จะเกิดผลอะไรในตัวเขาได้บ้าง จะเล่าให้ฟังครับ…

เริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง
..เมื่อปีที่แล้ว ผมให้เงินทุนพวกเขา คนละ 5,000 บาท ให้ลงทุนซื้อของมาขาย ของที่ขาย ก็ให้เขาเลือกเอง คิดเอาเอง ว่าอยากขายอะไร โดยการตั้งโต๊ะ ตั้งตู้ขายของเล็กๆน้อยๆที่หน้าบ้าน (หน้าบ้านเป็นร้านขายของ) ทำแบบของใครของมัน เป็นกิจการเล็กๆของตัวเองจริงๆ แต่ไม่ใช่การมานั่งเฝ้าขายทั้งวันครับ เพราะเด็กๆ มีกิจกรรม ต้องเรียน ต้องทำเรื่องอื่นๆด้วย ก็ฝากคนในบ้านขายบ้าง เด็กๆ ขายเองบ้าง ตามแต่ใครจะสะดวก แต่เปิดร้าน ปิดร้าน ต้องเรียงของเอง เก็บเอง รับผิดชอบด้วยตัวเอง

ฝึกสั่งของเอง เลือกของเอง
วิธีการสอนของผม ง่ายมากครับ ผมเป็นพ่อที่โคตรสบาย หลักการง่ายๆของผมคือ เป็นพ่อแม่..ที่ทำอะไรให้น้อยที่สุด แนะแค่วิธีการ แล้วปล่อยให้ลูกทำเอง ยิ่งเราทำให้เขาน้อยมากเท่าไหร่ ก็กำไรชีวิตเขามากเท่านั้น ถ้าผิดพลาด ก็แค่แก้ไข รับผิดชอบเอาเอง แก้ไขปัญหาเอง ยกตัวอย่าง..ถ้าถีงเวลาที่ทั้ง 3 คน ต้องไปเลือกของมาขาย ผมก็แค่ขับรถไปส่ง ให้เขาลงแล้วเดินไปที่ร้านขายส่งเอาเอง เลือกของเอง จ่ายเงินเอง ถึงเวลาก็วนไปรับ ไม่ไปยุ่ง ไม่ไปวิจารณ์สินค้าของเขา   

ฝึกทำบัญชี
ผมสอนลูกให้ใช้ excel และฝึกทุกคนให้สร้างบัญชีร้านค้าของตัวเองใน excel ให้เขาออกแบบหน้าตาบัญชีในแบบฉบับของตัวเอง (เขาขายสินค้าคนละแบบ) เหตุผลง่ายๆที่ให้เขาออกแบบเอง คือให้เขาเรียนรู้ว่า โลกของการทำงานจริง ไม่มีหลักสูตรสำเร็จรูป ไม่มีโจทย์ตายตัวเหมือนคณิตศาสตร์ในโรงเรียน ไม่มีแบบใดถูก แบบใดผิดเสมอไป ให้เขารู้จักดัดแปลงเป็น ประยุกต์เป็น อัพเกรดเป็น ให้เหมาะสมกับตัวเอง

ในทุกๆเช้า…ทุกคนจะมานั่งนับเงิน ทำบัญชียอดขายของเมื่อวาน บันทึกเงินเข้าเงินออก ค่าใช้จ่าย บันทึกเงินสดหมุนเวียน เงินเข้าเงินออกคล้ายๆ สเตทเม้นท์ของธนาคาร เขาจะรู้สถานการณ์เงินสดหมุนเวียนของตัวเองตลอด และให้เขาเขียนสูตรคำนวนง่ายๆ เขาจะแบ่งเงินประมาณ 15-20% จากยอดกำไรรายวัน เงินส่วนนี้เป็นเงินที่เขาไว้ซื้อของที่อยากได้ แต่ละคนแบ่ง % เงินเก็บไม่เท่ากัน เพราะเขาขายสินค้าคนละแบบ กำไรไม่เท่ากัน

พอใกล้ๆสิ้นเดือน ทุกคนจะมานั่งนับเช็คสต็อคสินค้า นับเงินสด เพื่อดูว่า ตอนนี้เขามีทรัพย์สินเท่าไหร่แล้ว ตรงจุดนี้แหล่ะครับ..เด็กๆ เขาจะเกิดประกายทางความคิด อยากต่อยอด และสนุกกับการได้เห็นทรัพย์สินของตัวเอง เพิ่มขึ้นทีละนิด ทีละนิด…

ฝึกการลงทุน
หลังจากที่ร้านค้าเริ่มอยู่ตัว..ผมกับลูกๆ สนทนากันต่อว่า…เรามีร้านค้าแล้ว มีเงินสดหมุนเวียนเพียงพอแล้ว ขั้นต่อไปคือ ลองแบ่งเงินบางส่วนมาลงทุนอย่างอื่นเพิ่มเติม โดยเงินก้อนนี้ จะเป็นเงินระยะยาว ไม่มีการดึงออกมาใช้ แต่จะทำให้มันเป็นเงินก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ…ผมมีทักษะอาชีพคือการปั้นรถโบราณขาย เลยชวนให้เขาหุ้นกัน 3 คน ซื้อรถเบนซ์โบราณคันนึงเพื่อขาย รถคันนี้ มีคนบอกขายในราคา 5หมื่นบาท เป็นรถจอดนานหลายปี ทุกคนเลยออกเงินกันคนละ หมื่นปลายๆ แต่การลงทุนขายรถตรงนี้ ผมยังต้องเป็นหลักในวิธีการครับ แต่สิ่งที่ได้คือ เด็กๆ เขาได้แนวคิด สนใจและตื่นเต้นมากๆ เพราะมันเป็นเงินของเขาเอง

เราอยู่ต่างจังหวัด แต่รถอยู่กรุงเทพ ผมโอนเงินซื้อ และลงขายในสภาพเดิม โดยที่ไม่ได้เห็นรถตัวจริง เห็นแค่รูป…สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ เด็กๆใจจดจ่ออยู่กับวิธีการขาย ลุ้นกันสุดตัวในทุกสายโทรศัพท์ที่โทรเข้ามา เพียง 2 วันที่ลงขาย รถก็ขายได้ในราคา 1.1แสนบาท นั่นหมายความว่า เงิน 5 หมื่นตอนนี้ของพวกเขา กลายเป็นเงิน 1.1แสนแล้ว หลังจากนั้นก็นำเงินก้อนนี้ ไปซื้อรถอีกคันมาทำ และขายไปได้แล้ว 3.8แสน (ขอเล่าคร่าวๆนะครับ) เงินลงทุนตรงนี้ ไม่รวมกับทรัพย์สินจากร้านค้าของพวกเขา ประเด็นหลักๆที่สำคัญกว่ายอดเงินเลยคือ..เด็กๆเขาได้วิธีคิดแล้ว…สิ่งที่เขาจะต้องเรียนรู้ต่อๆไป คือ How to ทำอย่างไร..ในแบบฉบับ ความถนัดของแต่ละคน

ทั้งหมดนี้ เพียง 1 ปี…จากเงินแค่ 5,000 บาท เขาได้เห็นทรัพย์สินของตัวเอง ขยับขึ้นทีละนิด ทีละนิด จนตอนนี้คนนึงมี 9หมื่นกว่า คนนึงมี 1.5แสนกว่าๆ ไม่รวมเงินลงทุนไปกับการซื้อขายรถ

การฝึกค้าขาย มีร้านค้า ผมมีเงื่อนไขกับตัวเอง คือ ร้านค้าของเขา เงินทุกบาท ทรัพย์สินร้านค้าของเขาทุกบาท ต้องมาจากตัวเขาเองทั้งสื้น นั่นคือเพื่อให้ในวันนึงข้างหน้า ให้เขาภูมิใจว่า ทั้งหมดนี้ มาจากน้ำพักน้ำแรงของเขาเองจริงๆ   

……….

ทั้งหมดนี้ เพียง 1 ปี…เกิดผลอะไรในตัวเขาบ้าง จะเล่าให้ฟังครับ…

พอฝึกให้เขาหาเงินเอง มีร้านค้าเล็กๆของตัวเอง และทำบัญชีที่ตัวเขาออกแบบเอง…สิ่งที่ตามมาคือ เวลาจะซื้ออะไร คิดแล้วคิดอีก การซื้อของแบบอารมณ์อยากได้ชั่ววูบ หรือตามเทรน ตามกระแส ไม่มีเลย คิดหลายวันมากกว่าจะซื้อได้ หลังๆเวลาอยากได้อะไร เขาจะจับกลุ่มตกลงกันเอง 3 พี่น้อง แชร์กันซื้อ หาร 3 แล้วเอามาแบ่งกันเล่น

สิ่งที่เปลี่ยนไปมากๆอีกอย่างคือ ลูกๆทุกคน ชอบมอง และสนุกในมุมมองของเบื้องหลังธุรกิจ เช่น..เวลาไปเที่ยว กินข้าวนอกบ้าน หรือ นอนโรงแรม หรือไปเห็นธุรกิจร้านค้าต่างๆ ทั้งสามพี่น้องเขาจะเริ่มสนทนากันในมุมของเบื้องหลังธุรกิจนั้นอย่างสนุกสนาน ประมาณว่า คิดว่าร้านนี้ลงทุนเท่าไหร่ คิดว่าร้านนี้เสียค่าเช่าเท่าไหร่ เขาขายได้วันเท่าไหร่ ของอันนี้คิดว่าต้นทุนเท่าไหร่ ผมอยู่ในกลุ่มลูกๆ ก็จะต้องคอยตอบคำถามแบบนี้ตลอด แม้กระทั่งซื้อเสื้อตัวละ 199บ. ยังไม่อยากจะยอมซื้อ จนบางทีต้องซื้อให้

พอเขาได้จุดเริ่มต้น ได้วิธีคิด เขาก็เริ่มคิดต่อยอดด้วยตัวเขาเอง

อย่างลูกคนเล็ก 12 ขวบ จากขายปลีก เขากำลังเริ่มขายส่ง เขาตั้งใจว่าปีนี้ต้องได้ตัวแทนขาย 100 เจ้า…ไอดอลเขาคือ เซเว่น 555 เขาอยากเป็นแบบเจ้าของเซเว่น มีสาขาทั่วประเทศ… หมอนี่จะมีคำถามเกี่ยวกับเซเว่น มาถามผมทุกๆ 2 วัน หรือขนมที่เขาซื้อมากิน ก็จะมีคำถามแนวเบื้องหลังของขนมตลอด อยากรู้ตลอด ว่าใครเป็นเจ้าของ

ลูกอีกคน อายุ 14 เขาเขียนโค้ดเว็บไซต์ กำลังต่อยอดของเขาเอง ด้วยเป้าหมายยอดขาย 1 ล้านในระยะเวลาอันสั้นๆ (ตรงนี้ขอไว้เล่าคราวหลังครับ เพราะมันเป็นไอเดีย) จริงๆเขาคิดใหญ่กว่านี้มากมาย ไม่กล้าเล่าครับ

นี่คือผลของการฝึกเด็กๆ ให้รู้จักค่าของเงิน รู้จักการทำงานจริงในชีวิตจริง พอเด็กเขาอิสระทางความคิด ทุกอย่างรอบตัวคือการเรียนรู้ เรียนรู้เพื่อชีวิตของเขาเอง ไม่ใช่เพื่อการสอบ

อยากให้พ่อๆแม่ๆ ลองเอาไปประยุกต์ใช้ดูครับ แม้เขาอาจจะยังไม่ได้ค้าขายอะไร แต่ลองฝึกให้เขาทำบัญชีง่ายๆ รู้ทรัพย์สินของตัวเอง ได้เห็นว่ามันเพิ่มขึ้นทีละนิด ทีละนิด ผมเชื่อว่า วิธีการง่ายๆแบบนี้ จะค่อยๆเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการใช้เงินของเขาไปจนโต ไม่ว่าเขาจะทำอาชีพอะไรก็ตาม แต่อย่างน้อย เขาก็มีวิธีคิดเรื่องการเงินเป็นพื้นฐานแล้ว เรื่องสำคัญที่โรงเรียนไม่สอน.

กระทู้เต็ม pantip.com/topic/38474997
facebook.com/pantipdotcom/posts/20315208…
.

Subscribe
Notify of
guest
ให้คะแนน
0 ความคิดเห็น
Inline Feedbacks
View all comments

CHANGE LANGUAGE