เขียนโดยคุณ คนคิดเวอร์
ความคิดเห็นที่ 16 กระทู้ pantip.com/topic/37408471
ผมติดตามเพจของคุณเด่นศรีมาตลอดครับ แต่ต้องคอยๆเก็บเอา เพราะแกจะไม่บอกหมด ตามสไลต์แก หรือบางทีถามไปก็จะไม่ค่อยตอบเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะตอบยิ้ม ซะมากกว่า แหะๆ
ปัญหาในความสับสนของผมก็คือ เมื่อแต่จะครั้งที่คุณเด่นศรีโพสครั้งเดียวมันรู้ไม่หมด ผมจึงพยายามรวมรวมความคิดจากหลายๆ ครั้งที่โพสมารวมกัน จริงๆแล้วข้อความข้างบนถ้าอ่านเผินๆก็อาจจะคิดง่ายๆว่าเป็น กระแสเงินสดแฝง แต่พอมาจับโพสอื่นๆมายำรวมด้วยความคิดมากของผมก็เลยตีความไปว่าทุกวันนี้ คุณเด่นศรีอาจจะไม่ได้คำนวนรายได้ออกมาเป็น กสงฝ. แล้วหรือเปล่า (หรืออาจจะคิดเวอร์ไปถึงว่าระบบ 1% อาจจะไม่ใช้การจับคู่ทำให้ไม่สามารถคำนวนกสงฝ.ตรงๆได้หรือเปล่า) เช่นจาก
www.facebook.com/803562599729827/photos/…
ลายแทง DSM
…
มาแบบขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า ตามหาลายแทง
ตอนนี้ รูปแบบการเทรดแบบ DSM เริ่มมีโบรกเกอร์นำไปใช้
เพราะเห็นแวป ๆ มีแถบวิ่งชี้ชวนการลงทุนในรูปแบบ ขายแล้วซื้อคืน
…
ยังอดเคืองไม่ได้ว่าทำไมไม่บอกด้วยว่า เป็นระบบ DSM ( แหะ แหะ )
…
ระบบ DSM มีหลักการง่าย ๆ ครับคือ
ซื้อให้ถูกกว่าที่เคยขาย
ซื้อให้ถูกกว่าที่เคยขาย
ซื้อให้ถูกกว่าที่เคยขาย
.
จากนั้นก็ควบคุมการใช้เงิน ( ก็คือการบริหารเงิน นั่นเองครับ )
ส่วนรูปแบบการเทรด ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่า จะออกแบบอย่างไรให้ง่าย
ตอนที่ผมค่อย ๆ ปรับปรุงระบบ ผมคิดเพียงว่า ทำอย่างไรให้เด็กอายุ 10 ขวบ สามารถทำได้
ลูกสาวผมเพิ่งอายุ 8 ขวบ ผมเลยต้องยิ่งปรับปรุงระบบให้ง่ายขึ้นไปอีก
.
ส่วนการวัดผลก็ดูที่ 3 อย่างคือ
1. เงินที่ไหลเข้าสมุดบัญชี
2. จำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น
3. เงินปันผล
..
..
เมื่อเอา หลักการ + ตัววัดผล + การปรับปรุง
ก็จะรวมเป็นว่า
DSM คือการลงทุนแบบ ขายแล้วซื้อคืน เพื่อให้มีเงินไหลเข้าบัญชี
มีหุ้นเพิ่ม เพื่อรอรับปันผลโดยไม่ต้องทำงานอีก และ ต้องมีความง่ายขนาดเด็กอายุ 10 ขวบทำตามได้
…..
ในตัววัดผลข้อ 1. เงินที่ไหลเข้าบัญชี
ถ้าจะเอาง่าย ๆ เลยแบบ มัดมือชก ก็ทำแบบนี้เลยครับ
…
สมมุติพอร์ต 1 ล้านบาท
คุณต้องทำรายได้ออกมาวันละ 1000 บาท ( หนึ่งพันบาทถ้วน )
ทุกวัน
ดังนั้นหากเทรดรวม 1 เดือน คุณต้องมีเงินในสมุดบัญชีเท่ากับ
20 * 1000 บาท = 20,000 บาท
ถ้าซื้อขาย 2 เดือน ก็คูณจำนวนวันเวลาเข้าไป
นั่นคือ เงินในบัญชีก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆๆๆๆๆๆ
เข้าตามกติกาตัววัดผลข้อที่ 1.
…………..
…………..
เมื่อได้ตัววัดผลข้อที่ 1 แล้ว
ก็มาดูว่า จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นไหม ซึ่งปกติควรจะเพิ่มขึ้น เพราะเราดึงเงินออกมาน้อยมาก ( 1 ล้าน ดึงวันละ 1000 บาท เท่ากับวันละ 0.1 เปอร์เซนต์ เท่านั้น )
ถ้าจำนวนหุ้นน้อยลง แสดงว่าเราอาจจะทำอะไรผิด หรือ การดึงเงิน อาจจะดึงออกมามากเกินไป เราก็ลดจำนวนเงินที่ดึงแต่ละวันให้ลดน้อยลง ( ต้องเก็บข้อมูลเองนะครับ )
ถ้าจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น ก็เท่ากับว่า
ตัววัดผล ที่ 1. และ 2. เป็นไปตามแผน
ที่เหลือ ก็จะส่งผลไปที่ตัววัดผลที่ 3 ( เงินปันผล ) เอง
เพราะเงินปันผล ขึ้นอยู่กับ จำนวนหุ้น กับ ราคาหุ้น
……………
ง่ายไหมครับ
ที่เหลือก็แค่วางแผนการเทรด
เท่ากับว่า เรามีการบริหารเงินด้วยการดึงเงินออกมาเก็บเข้าบัญชี
เพื่อควบคุมการเทรดของเรา
……
พอร์ต 1 ล้าน ดึงเงินออกมาวันละ 1000 บาท
ถ้ามีวินัย เท่ากับว่า ใน 1 ปี คุณจะมีเงินไหลออกมาถึง 20 % เชียวนะครับ
…….
ลองดูครับ
ถ้าดึงเงินออกมาในอัตรานี้ แล้วจำนวนหุ้นลดน้อยลง
ก็ลองลดยอดเงินที่ดึงลง แต่ก็ต้องดูด้วยว่า การเทรดเราผิดพลาดตรงไหนด้วยหรือเปล่า
…….
…….
ลายแทง DSM ครับ
( เด่นศรี ครับ )
ผมเห็นแกใช้คำว่า เงินในบัญชี ซึ่งถ้าจะมองตามคำพูดแบบตรงตัวเลย ผมก็มองว่าเงินที่เข้าบัญชีมันน่าจะเป็นยอดเงินที่ได้จากการขายทั้งหมด ซึ่งก็คือ กสงฝ.อนาคต+เงินรอซื้อคืนนั่นเอง
อีกประโยคในตัววัดผลคือ (ขออนุญาติเรียบเรียงคำให้กระชับตามความเข้าใจนะคร้ับ ประโยคเดิมๆของคุณเด่นศรีโพสให้ด้านบนแล้ว)
สมมุติจากเงินต้น 1 ล้านให้ดึงออกมาวันละ 1,000 บาท ถ้าดึงแล้ว จำนวนหุ้นน้อยลง แสดงว่าเราอาจจะทำอะไรผิด หรือ การดึงเงิน อาจจะดึงออกมามากเกินไป เราก็ลดจำนวนเงินที่ดึงแต่ละวันให้ลดน้อยลง
จากตรงนี้จึงทำให้ผมเดาว่าด้วยระบบ 1% คุณเด่นศรีอาจจะไม่ได้คำนวนตัวกสงฝ.จริงๆแล้ว เพราะ
1. ถ้าคำนวนกสงฝ. มันก็จะรู้รายได้อยู่แล้วว่าเดือนๆนึงระบบทำรายได้ให้เท่าไหร่ มากกว่าหรือน้อยกว่า 1000 บาท ไม่จำเป็นต้องดึงออก แล้วมาสังเกตุความเติมโตของพอร์ตว่ามากขึ้นหรือน้อยลง
2. ถ้าเงินที่ดึงออกจากบัญชีเป็นบัญชีกสงฝ. ไม่ใช่บัญชีเงินสดในมือทั้งหมด เงินที่เหลือก็จะต้องพอซื้อหุ้นคืนได้ทั้งหมด จำนวนหุ้นก็จะไม่มีทางลดลง เพื่อแกโพสว่าถ้าดึงออกมากไป จะทำให้จำนวนหุ้นน้อยลง ก็ทำให้ผมตีความไปว่าบัญชีที่ว่าน่าจะเป็นเงินทั้งหมดที่ได้จากการขายหุ้นครับ
………………………………………………………………………………………..
เขียนโดยคุณ คนคิดเวอร์
ความคิดเห็นที่ 17 กระทู้ pantip.com/topic/37408471
…
1-12-2560
…
ขอเพียงคุณสร้างบริษัทที่ดี …… ผมจะเข้าไปซื้อมัน
…
ประโยคสั้นๆนี้ สรุปสิ่งที่ผมกำลังทำได้อย่างครบถ้วน
…
Cut loss และ Let Profit Run เป็นสิ่งที่ผมและครอบครัว ทั้งภรรยา และ ลูกสาววัย 10 ขวบ กำลังทำกันอย่างสนุกสนานทุกวันที่ตลาดหุ้นเปิด
…
โพสต์ก่อนหน้านี้ ผมทิ้งท้ายไว้ และ เดาไว้ในใจแล้วว่า ต้องมีเพื่อนสงสัยแน่ว่า แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า ตอนไหนต้อง cut loss ตอนไหนต้อง let profit run
…
คำตอบคือ —>>> ผมเองก็ไม่รู้ อิอิ
…
แต่ถ้าถามว่ายากไหมที่จะทำ คำตอบของผมอยู่ที่ลูกสาว อายุ 10 ขวบ
…
คุณคิดว่าง่ายหรือยากละ ถ้าเด็กหญิงอายุ 10 ขวบ ยังทำได้สบาย
…
…
ณ ตอนนี้ ผมมีโจทย์ใหม่ขึ้นมา ผมทดสอบระบบ DSM อีกครั้ง หลังจากที่ผมหยุดการสอนไปเป็นเวลากว่า 10 ปี
…
เพียงแต่ครั้งนี้ การสอนครั้งนี้ เป็นการสอนให้แก่น้องที่ช่วยชีวิตผมไว้ ผมถามความเห็นของภรรยาและลูกสาวว่า ” อยากให้ผมสอนเค้าไหม ? ”
….
เมื่อทุกคนอยากให้สอน การสอนจึงเริ่มขึ้น วันที่เริ่มสอนคือวันที่ 5 ตูลาคม 2560
…
คำถามแรกที่ผมถามน้องท่านนี้คือ …. ค่าใช้จ่ายในแต่ละปี อยู่ที่เท่าไหร่ ( คำตอบคือ ปีละ 2 ล้านบาท )
…
เราจึงเริ่มกันด้วย เป้าหมายแรกง่าย ๆ —>>> ต้องทำปันผลต่อปีให้ถึง 2 ล้านบาท
…
…
และมีกติกาง่าย ๆ คือ
1… ห้ามแย้ง ห้ามสงสัย
2… ทำตามอย่างเดียว โดยไม่ต้องคิดอะไร
3… ถ้าแย้งเมื่อไหร่ ผมเลิกสอนทันที
… น้องท่านนี้ตอบว่า OK ค่ะ จะเป็นนักเรียนที่ดีที่สุดให้ได้
…
…
เป้าหมายที่สอง —>>> กำหนดเป้าเงินที่ไหลเข้าบัญชี เพื่อเพิ่มหุ้นบริษัทใหม่
…
เมื่อกำหนดเป้าแรกให้เสร็จ น้องท่านนี้ร้อง โห … แล้วจะได้ไหมเนี่ยะ ( แค่ 10 เปอร์เซนต์ของพอร์ตเริ่มต้นเองนะเนี่ยะ 555+ ) ….. ผมตอบแบบยิ้ม ๆ ว่า ” เด๋วก็ได้ *0* ”
…
น้องท่านนี้ จากเดิม ซื้อหุ้นถือไว้เฉย ๆ ผมดูจากพอร์ตเริ่มต้นแล้ว พอร์ตเค้ากำไรอยู่เยอะพอควร ดังนั้นสมการคือ จะเอากำไรและต้นทุนออกมาไว้ในสมุดบัญชีได้อย่างไร โดยที่หุ้นยังคงอยู่เหมือนเดิม หรือ มากกว่าเดิม
…
เวลาผ่านไป 10 วัน น้องท่านนี้ไลน์มาบอกว่า ” พอร์ตบวม ”
ผมจึงถามว่า พอร์ตบวมคืออะไร น้องตอบว่า … ต้นทุนพอร์ตมันสูงขึ้น
…
ผมจึงบอกว่า … ลองดูให้ดี จากเดิมที่เริ่มระบบ ไม่มีเงินเลยสักบาทเดียวในสมุดบัญชี ผ่านมา 10 วัน มีเงินไหลเข้ามาหลายหมื่นบาท และ หุ้นในพอร์ตมากกว่าเดิม มันไม่ใช่การเอาเงินเพิ่มลงไปซื้อหุ้นจนต้นทุนเพิ่ม
…
น้องถามว่า มันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ผมตอบน้องง่าย ๆ ว่า ” ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ตลาดหุ้นมันมีข้อสงสัยเต็มไปหมด ดังนั้น สิ่งที่ควรทำคือ หาวิธีที่ดี เลิกสงสัย แล้วรอดูผลของมัน ”
…
และผมถามต่อว่า … แล้วถ้าคิดว่าพอร์ตบวม กังวลไหม และ จะทำต่อไหม น้องก็บอกว่า จะทำต่อ
…
1 เดือนผ่านไป น้องตื่นเต้นมาก เพราะอยู่ ๆ เงินก็ไหลเข้าบัญชีจนถึงเป้าแรกที่จะได้สิทธิเพิ่มหุ้นบริษัทใหม่เข้าพอร์ต
น้องท่านนี้ เลือกหุ้นอย่างสนุกสนาน เพื่อเป็นหุ้นใหม่เข้าพอร์ต
…
ระบบจึงเริ่มสนุกขึ้น เพราะมีกติกาที่ต้องเรียนเพิ่มขึ้นจากเดิม ทีจากเดิมมีเพียง ขึ้นซื้อ ลงขาย
…
จากเดิมที่น้องท่านนี้ ปล่อยหุ้นไว้เฉย ๆ เพราะไม่รู้จะทำอะไรกับมัน กลายเป็นสนุกกับการปั๊มเงิน ปั๋็มหุ้น ถึงกับบอกว่า สนุกมากเลย
…
เมื่อเป้าแรกผ่านไป ผมกำหนดเป้าที่สองต่อ น้องท่านนี้ก็ยังร้องเหมือนเดิม … โห เป้าอีกไกลเลย จะได้ไหมเนี่ยะ
…
ผมยังคงยิ้มและตอบเช่นเดิม ” เด๋วก็ได้ *0* ”
…
ณ วันนี้ เป้าที่สองก็ผ่านไปอีก ได้หุ้นเพิ่มอีก และยอดเงินในบัญชี กำลังถึงเป้าที่ 3 น้องกำลังเตรียมหุ้นใหม่ที่จะเอาเข้าพอร์ต ( รอบนี้ เตรียมหุ้นใหม่แต่วันเลย อิอิ )
…
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีหุ้นบางตัวที่น้องต้องปล่อยขายออกมาเรื่อย ๆ จนน้องกลัวหุ้นจะหมดมือ ผมบอกเพียงว่า ขอให้เชื่อระบบ อย่าไปฝืนระบบ ( แล้วน้องก็ฝืนจริง ๆ ในวันหนึ่ง )
…
แล้วจากนั้นไม่กี่วัน หุ้นที่น้องฝืนซื้อเข้ามา เพราะเสียดาย ก็พ่นพิษ จนน้องบอกว่า ไม่น่าเลย ไม่น่าด่วนใจร้อนเลย ( ผมได้แต่อมยิ้ม เพราะดีใจที่น้องเจอกับตัวเอง โดยที่ผมไม่ต้องตำหนิ )
…
ระหว่างทาง น้องก็ถามว่า จะทราบได้อย่างไรว่า เค้าสามารถทำได้แล้ว อยู่ในตลาดหุ้นได้แล้ว ?
..
..
ผมตอบว่า ” จนกว่าจะได้เงินทุนเริ่มต้นทั้งหมด เข้ามาอยู่ในสมุดบัญชีทั้งหมด และ หุ้นในมือ ยังเท่าเดิม หรือ มากกว่าเดิม นั่นแหละ ผมจึงจะสรุปว่า —->>> ผ่าน ”
…
ระยะเวลาท่ี่เรียนมา แม้จะแค่ 2 เดือน แต่น้องก็ได้เห็นอะไรจากระบบ เห็นสิ่งที่ระบบทำงาน ได้เห็นว่า ตลาดหุ้นมันทำเงินง่าย ขอเพียงมีระบบที่ถูกต้อง แล้วเชื่อใจระบบ อย่าฝืนระบบ ระบบจะทำงานของมันอย่างถูกต้องเอง ทั้ง
การ Cut Loss …
การ Let Profit Run ….
การ เพิ่มหุ้นใหม่
การ อดทนที่จะรอตามที่ระบบทำงาน
การ ปั้มเงินของระบบ
…
โดยที่น้องไม่ต้องคิดสงสัย ไม่ต้องหาเหตุผลว่ามันมาได้อย่างไร ไม่ต้องดูข่าวสถานการณ์บ้านเมือง ไม่ต้องดูความเป็นไปของตลาดโลก ดูเพียงแค่ …. ราคาหุ้น
…
…
ผมบอกน้องท่านนี้ว่า วงจรหุ้น มันยังอีกยาว ผมอาจจะต้องใช้เวลาสอนถึง 2 ปี ในการดึงเงินต้นทุนทั้งหมดกลับสู่สมุดบัญชี โดยที่หุ้นในมือยังเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม …. ขอให้อดทนจนถึงวันนั้น แล้วผมจะปล่อยมือให้น้องลุยด้วยตัวเอง
..
…
น้องท่านนี้ เป็นคุณหมอ ที่ช่วยชีวิตผมไว้ในคราวที่ผมเข้า ICU
….
….
( ยิ้มแย้ม )
เด่นศรี ครับ
***************************************************************************
ต้ดข้อความช่วงที่คุณเด่นศรีพูดถึงพอร์ตของคุณหมอลูกศิษย์คุณเด่นศรี
“จากเดิมที่เริ่มระบบ ไม่มีเงินเลยสักบาทเดียวในสมุดบัญชี ผ่านมา 10 วัน มีเงินไหลเข้ามาหลายหมื่นบาท และ หุ้นในพอร์ตมากกว่าเดิม”
…………..
” 1 เดือนผ่านไป น้องตื่นเต้นมาก เพราะอยู่ ๆ เงินก็ไหลเข้าบัญชีจนถึงเป้าแรกที่จะได้สิทธิเพิ่มหุ้นบริษัทใหม่เข้าพอร์ต ”
………….
จาก 2 ประโยคด้านบน ทำให้จับประเดินได้ว่า ใน 10 วันแรก แม้ว่าจำนวนเงินในบัญชีจะไม่ได้เพิ่มขึ้นถึงเป้าแรกที่จะซื้อหุ้นบริษัทใหม่เพิ่ม(เข้าใจว่าเป็นเป้าในความหมายที่คุณกระสุนนำข้อความมาโพส) แต่หุ้นเดิมๆ ก็เพิ่มขึ้นแล้วใน 10 วันแรก
ตรงนี้คืออีกจุดที่ผมสงสัยครับว่ากระบวนการซื้อขายแบบ 1% น่าจะแยกเป็นซื้อเพิ่มใหญ่กับซื้อเพิ่มย่อย ซื้อเพิ่มใหญ่คือซื้อหุ้นบริษัทใหม่หรือเพิ่มหุ้นเดิมเมื่อเงินในบัญชีถึง 1 แสน(ต่อทุน 1 ล้าน)ตามที่คุณกระสุนช่วยยกข้อความมาให้ดูกัน แต่ซื้อเพิ่มย่อย น่าจะมีตลอดในช่วงการซื้อขาย 1% นั้น เพราะแค่ 10 วันแรก ก่อนถึงเป้าซื้อเพิ่มใหญ่ตอน 1 เดือน จำนวนหุ้นในพอร์ทของคุณหมอศิษย์คุณเด่นศรีก็เพิ่มขึ้นแล้ว
ผมจึงอยากทราบจังหวะการซื้อเพิ่มย่อยตรงนี้หน่อยครับ คุณกระสุนหรือคุณกำไรสุทธิ หรือท่านอื่นที่ใช้ระบบ 1% พอจะแนะนำให้หน่อยได้ไหมครับ
ขอบคุณทุกท่านล่วงหน้าครับ